ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย
และอาม่าแก่ๆคนหนึ่งอาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา
ทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะ เวลาที่อาม่าทานข้าวร่วมกับครอบครัว
อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบน โต๊ะตลอดเวลา
ลูกสะใภ้อาม่ารำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามี ว่าเวลาอาม่า
ทานข้าวเขาจะทำข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ นางทนไม่ได้เพราะมันทำให้รู้สึกกินข้าวไม่ลง
สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถทำให้อาม่าหายมือสั่นได้
อีกไม่กี่วัน ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเรื่องนี้อีกว่า จะไม่แก้ไขอะไร เลยหรือนางทนไม่ได้แล้ว
หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมตามภรรยา โดยเมื่อ ถึงเวลาทานข้าว
เขาจะจัดให้แม่นั่งแยกโต๊ะต่างหากเพียงคนเดียว และใช้ถ้วยข้าว ถูก ๆ บิ่น ๆ
เพราะอาม่าทำถ้วยแตกบ่อยๆเมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก
เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้ นางนึกถึงอดีตที่นางเลี้ยงดูลูกชาย
ด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยบ่นต่อ ความเหนื่อยยาก
และเวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็ดูแลอย่างดี เวลาลูกชายมีปัญหาก็ ช่วยแก้ไขทุกครั้ง
แต่ตอนนี้อาม่ารู้สึกว่าถูกทิ้ง อาม่าเสียใจมากหลายวันผ่านไป อาม่ายังเศร้าใจ
รอยยิ้มเริ่มจางหายไปจากใบหน้าของ เขาหลานชายน้อย ๆ
ของอาม่าซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตลอดก็เข้ามาปลอบใจและบอกคุณย่า
ว่าเขารู้ว่าคุณย่าเสียใจมากที่พ่อแม่ของเขาทำแบบนี้ แต่หลานชายมีวิธีที่จะให้
อาม่ากลับไปทานข้าวรวมกับทุกคนได้ ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของหญิงชรา
จึงถามหลานชายว่าจะทำอย่าง ไร หลานก็ตอบว่าเย็นนี้ให้คุณยายแกล้งทำชาม
ของคุณยายตกแตกเหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ อาม่าได้ฟังก็แปลกใจ
แต่เด็กน้อยยืนยันว่า ให้คุณยายทำตามที่บอก ที่เหลือปล่อย เป็นหน้าที่ของหลานเอง
และแล้วเมื่อได้เวลาอาหารเย็นหญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด
เพื่อจะดูว่าหลานมีแผนอะไร หญิงชรายกถ้วยข้าวเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้นแล้ว
แกล้งปล่อยลงบนพื้นเหมือนกับหลุดมือ ถ้วยข้าวเก่าๆแตกกระจายยับเยิน
ลูกสะใภ้เห็นถ้วยแตกเสียหายก็ลุกขึ้นเตรียมจะด่าว่าอาม่า
แต่ลูกชายตัวน้อยของนางกลับชิงพูด ขึ้นมาก่อนว่า
"คุณยายทำไมทำชามแตกหมดเลย หนูกะว่าจะเก็บไว้ให้คุณแม่ใช้ตอนแก่ นะ"
ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็หน้าซีดและด่าอาม่าไม่ออกอีก ต่อไป
นางรู้ทันทีว่าสิ่งที่นางทำจะเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของนางปฏิบัติเมื่อนาง
แก่ตัวลงนางรู้สึกอับอายและสำนึกกับการกระทำของตัวเองตั้งแต่นั้นมา
ทุกคนก็ทานข้าวรวมกันมาตลอด